ซินเจนทา ประเทศไทย ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์การเกษตรระดับโลก เดินหน้ายกระดับอุตสาหกรรมข้าวไทยอย่างยั่งยืน ผ่านการพัฒนานวัตกรรมสารอารักขาพืช การจัดการดูแลการปลูกข้าวแบบครบวงจร การจัดการธาตุอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการของข้าวในแต่ละระยะการเจริญเติบโต ไปจนถึงการให้คำแนะนำเชิงลึกจากทีมผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานเคียงข้างเกษตรกรในพื้นที่จริง เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตและมีคุณภาพตรงตามความต้องการของผู้บริโภค

นายพิษณุ อภิราชกมล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ซินเจนทา ครอป โปรเทคชั่น จํากัด กล่าวว่า “เรามีความตั้งใจที่จะช่วยให้เกษตรกรชาวนาไทยสามารถผลิตข้าวเพื่อบริโภคภายในประเทศและส่งออกได้อย่างยั่งยืน สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก แต่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่แค่ ปลูกข้าวให้ได้ แต่คือ ปลูกข้าวให้มีคุณภาพสม่ำเสมอ และตรงกับความต้องการของตลาด ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญกับการสนับสนุนเกษตรกรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ผ่านนวัตกรรมสารอารักขาพืชและสารชีวภาพบำรุงพืชที่คิดค้นและพัฒนาขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ข้าวไทยมีผลผลิตที่ดีและมีคุณภาพ

เรายังมีทีมผู้เชี่ยวชาญที่ลงพื้นที่ร่วมวางแผนกับเกษตรกรอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การเตรียมแปลง การเลือกพันธุ์ การจัดการวัชพืช การควบคุมโรคแมลง การดูแลสุขภาพพืช แม้ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมตั้งแต่เริ่มปลูก ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว และการดูแลหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อให้เทคโนโลยีที่มีอยู่ถูกใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุด”
หนึ่งในโปรแกรมสำคัญของซินเจนทา คือ “โกรมอร์* – ปฏิบัติการข้าวเกินเกวียน” ซึ่งเป็นแนวทางการจัดการแปลงนาข้าวอย่างเป็นระบบแบบผสมผสาน ทั้งในด้านการใช้สารอารักขาพืช การจัดการศัตรูพืช และการดูแลธาตุอาหาร สารชีวภาพบำรุงพืชที่ดูแลส่งเสริมสุขภาพข้าว ในแต่ละระยะของการเจริญเติบโต ตั้งแต่ระยะข้าวเล็ก ระยะแตกกอ ระยะตั้งท้อง จนถึงระยะออกรวง

โดยมุ่งเน้นให้เกษตรกรสามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม ปลอดภัย คุ้มค่าการลงทุนและมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งยังได้คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ที่เข้ามาช่วยเสริมศักยภาพในการปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตดีมีคุณภาพ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันศัตรูพืชและโรคพืช ที่กำจัดได้ยาก ลดการดื้อยา และไม่กระทบต่อระบบนิเวศ
“การปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตดีและมีคุณภาพในยุคนี้ ไม่ใช่แค่การใส่ปุ๋ยหรือพ่นยาแบบที่เคยทำมา แต่ต้องใส่ใจและดูแลทุกขั้นตอนอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในพื้นที่ของเรา ซึ่งมีเวลาปลูกเพียง 60 วัน จึงต้องบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โชคดีที่ได้ทีมจากซินเจนทาเข้ามาช่วยให้คำแนะนำ ตั้งแต่การวางแผนการจัดการแปลง ไปจนถึงการใช้โซลูชันที่เหมาะสมกับช่วงวัยของต้นข้าว
ทั้งการควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืช การจัดการวัชพืชอย่างแม่นยำ และการใช้สารชีวภาพที่มีธาตุอาหารสำคัญที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าวอย่างแท้จริง ทำให้ใบข้าวเขียวสมบูรณ์ตั้งแต่ระยะต้น รวงแน่น น้ำหนักดี ที่สำคัญคือการใช้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณที่พอดี และถูกช่วงเวลาที่เหมาะสมกับพันธุ์และสภาพแวดล้อมของเรา ก็ช่วยลดต้นทุนได้มากขึ้นด้วย” นางสาวปราณี สวนนุ่ม เกษตรกรชาวนา จ. พิษณุโลก กล่าว

สำหรับซินเจนทา ความสำเร็จของเกษตรกรไทยไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขผลผลิต แต่คือการสร้างคุณค่าใหม่ให้ “ข้าวไทย” มีความหมายมากยิ่งขึ้นในฐานะอาหารคุณภาพของโลก พร้อมช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น โดยความสำเร็จเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเกษตรกรมีโอกาสเข้าถึงความรู้ เครื่องมือ นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมในทุกขั้นตอนของการเพาะปลูกอย่างแท้จริง.
